เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๘ ก.ย. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

นักปฏิบัตินะ เขาถามปัญหาว่า “จะทำอย่างไรให้มองเพศตรงข้ามไม่สวย? ผู้ชายให้มองผู้หญิงว่าไม่สวย”

เราบอกว่า มันเป็นไปไม่ได้หรอก ความสวยมันมีตั้งหลายชนิดใช่ไหม? ความสวยของคนมันก็คือความสวยนั่นแหละ มันสวยด้วยรูปร่าง สวยด้วยปัญญา สวยด้วยคุณงามความดี มันต้องใช้ปัญญาสิ บอกว่าถ้ามองให้ไม่สวย เราบอกมันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะอะไรรู้ไหม?

เพราะในสมัยพุทธกาล พระนั่งภาวนาอยู่ แล้วคู่สามีภรรยาเขามีปัญหากัน แล้วมีปัญหากันภรรยาก็เดินผ่านมาไง แล้วพระนั่งภาวนาอยู่ เดินจงกรมอยู่ เห็นไง เห็นเป็นโครงกระดูกเดินมา ไม่เห็นคนเลย เห็นเป็นโครงกระดูก แล้วสามีตามมา ตามมามาเจอพระเดินจงกรมอยู่ ถามว่า “เห็นคนเดินผ่านมาทางนี้ไหม?”

พระบอก “ไม่เห็นหรอก เห็นแต่โครงกระดูกเดินไป” เห็นโครงกระดูกเดินไป ไม่เห็นร่างกาย ไม่เห็นเนื้อหนังเลย เห็นไหม

คนจะเห็นอย่างนี้ได้นี่ขั้นอนาคามิมรรคนะ แล้วเราเริ่มปฏิบัติใหม่ๆ แล้วเราจะบอกว่าให้เห็นไม่สวยๆ มันเป็นไปได้อย่างไร? ของมันสวยก็คือมันสวยสิ แต่สวยอย่างนี้มันสวยด้วยเรามีปัญญาของเรา ความสวย รูปร่างความสวยเพราะอะไร? เพราะมันเกิดจากบุญของเขา นางวิสาขานี่นะขนาดว่ามีลูกมีเต้า ตัวเองยังเป็นสาวเป็นแส้ ยิ่งกว่าหลานเลย ลูกหลานนี่แก่ก่อนนางวิสาขานะ เพราะอะไร? นี่บุญของเขา

คนเรามีบุญมีกรรม เราสร้างบุญกุศลมา ดูสิคนจะรูปร่างสวยงามได้รักษาศีล คนจะมีอายุยืนเราไม่ทำปาณาติปาตาไว้ เราไม่ทำให้ชีวิตสัตว์ตกล่วง ชีวิตเราจะยืนยาวนะ นี่เขาถ่ายชีวิตๆ เพราะมันเป็นประเพณีวัฒนธรรม เห็นไหม แล้วนี่เราจะมีโภคทรัพย์เพราะเราได้สละทานไว้

เราไม่ได้ทำไม่มีหรอก สิ่งที่เราได้กันมานี่เราทำกันมา แล้วรูปร่างกลางตัวเราได้มาเพราะอะไร? เพราะเราสร้างบุญกุศลของเรามา พอเราสร้างมาให้มันเป็นบุญกุศล เหตุมันสร้างมา เหตุ ไอ้ที่เกิดมานี่เป็นผลแล้วนะ เป็นวิบาก ผลที่เกิดมาจากการกระทำ ผลเกิดจากการที่เราทำคุณงามความดีมา แล้วบอกจะให้มันไม่สวยมันเป็นไปได้อย่างไร? แต่มันชั่วคราว การสวยอย่างนี้ การจะสวยงามหรือการจะอัปลักษณ์ขนาดไหนนะ มันเป็นเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก

คนเราไม่ใช่ดีเพราะการเกิด เกิดในชาติตระกูลดีขนาดไหนนะ ถ้าเราเลี้ยงดี แล้วเขาสร้างคุณงามความดีของเขามา เขาจะมาส่งเสริมชาติตระกูลของเรา แต่ถ้าเกิดมา เห็นไหม นี่เขามีบุญมีกรรมต่อกัน เขาก็มีบาดหมางกัน นี่ผลของการเกิด ผลของการเกิดมันเป็นวิบากกรรม กรรมที่สร้างผลมา แล้วเราสร้างคุณงามความดีมา จะให้มันเป็นอย่างนั้นเป็นไปไม่ได้ อันนี้มันเป็นเรื่องของกรรมนะ

แต่เรื่องของวิปัสสนา เรื่องของสิ่งที่เรามองจะสวยหรือไม่สวย มันอยู่ที่ปัญญาของเราไง เรารักษาใจของเราสิ เขาจะสวยหรือไม่สวยมันเป็นเรื่องข้างนอกใช่ไหม? หัวใจเราไปยุ่งกับเขาต่างหาก หัวใจของเราไปดึงเขามาต่างหาก หัวใจเราไปติดข้องเขาต่างหาก เขาจะสวยก็บุญของเขา กรรมของเขา

กรรมของเรา บุญของเรา เห็นไหม ถ้าเรามีคมปัญญา ปัญญาของเราคมกริบมันจะแก้ไขความยึดติดของใจของเราเอง ใจของเรามันมีกรรมของเราเอง ใจของเราไปยึดติดของเราเอง สังคมเป็นสภาวะแบบนั้น มันเป็นเรื่องของวัฏฏะ การเกิดและการตายเป็นเรื่องของวัฏฏะ คนเกิด คนตายจะมีอำนาจวาสนาขนาดไหนมันเรื่องของเขา แต่ถ้าเราวิปัสสนาไปจนถึงขั้นที่ว่ามันเห็นเป็นอสุภะ นั่นแหละเห็นเป็นอสุภะ แต่การเห็นอสุภะ เห็นไหม ดูสิเรานักปฏิบัติกัน นี่มันเป็นนักปฏิบัติที่ไม่มีครูบาอาจารย์เป็นพื้นฐาน

คำว่า “พื้นฐาน” ถ้าครูบาอาจารย์มีพื้นฐาน นี่พอเริ่มปฏิบัติมา เมื่อก่อนเราเคยโกรธมาก เดี๋ยวนี้เราไม่โกรธ...เป็นไปไม่ได้หรอก มันหินทับหญ้าไว้ มันขณะหุ้นขึ้น ขณะหุ้นขึ้น ใจเราดีเราระลึกได้หมดแหละ แต่เราหุ้นตกนะ มันไม่ต้องมีอะไรเลย แค่ลมพัดมาก็ไม่พอใจแล้ว นี่ลมพัดมา แดดออกมันก็โกรธแล้ว ความโกรธเพราะอะไร? เพราะการจะตัดโกรธได้ขั้นอสุภะทั้งนั้นเลย เพราะเวลาถึงขั้นอสุภะ มันตัดความโลภ ความโกรธ ความหลงไง

ความโลภ เห็นไหม ความโลภมันอยากได้ของมันตลอดไป ความหลง มันหลงเพราะมันไม่รู้จักความจริงของมัน ความโกรธ โกรธเพราะอะไร? โกรธเพราะไม่ได้ดั่งใจ แล้วได้ดั่งใจ กามราคะ ปฏิฆะ กามราคะคือข้อมูลนะ แล้วข้อมูลของใจมันต่างๆ กันไป ข้อมูลนะ ข้อมูลคือปฏิฆะ ข้อมูลของหัวใจ ดูสิความสวยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความสวยของคนนะ คนชอบความสวยต่างๆ กันไป รสนิยมของคนต่างๆ กันไป แล้วความสวยเอาอะไรเป็นที่ตั้งล่ะ?

นี่ถ้ามันเป็นข้อมูลอันนี้ มันไปลบล้างที่ข้อมูลอันนี้ ถ้าข้อมูลอันนี้ เห็นไหม นี่ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันจะชำระกันที่อนาคามิมรรค ถ้าอนาคามิมรรค แล้วเราเริ่มต้นปฏิบัติเราจะหวังเลย เราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะกดไว้ไม่ให้มองฝ่ายตรงข้ามไม่ให้สวย มันก็เหมือนคนตาบอดสิ ความเข้าใจผิดของกิเลสมันเข้าใจผิดอย่างนี้ กิเลสเวลาพาปฏิบัติ เราเข้าใจว่าครูบาอาจารย์ที่ท่านละกิเลสได้ ท่านจะเหมือนจระเข้ ท่านจะไม่มีลิ้น รูป รส กลิ่น เสียงไม่มีรสชาติ

ไม่ใช่หรอก เวลาครูบาอาจารย์เรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีหมอชีวกรักษาอาการไข้เลย นี่ธาตุขันธ์มันเป็นสมมุติเหมือนกัน เราเกิดมามีธาตุขันธ์ ธาตุขันธ์คือว่าร่างกายและจิตใจเหมือนกัน แต่ขณะที่ชำระกิเลสไปแล้ว นี่ความสะอาดของใจ ถ้าความสะอาดของใจ นี่ภาราหะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ ความคิดนี่มันบริสุทธิ์หมดเลย ความคิดบริสุทธิ์ เห็นไหม ความคิดบริสุทธิ์เพราะความคิดไม่ใช่ใจ ความคิดไม่ใช่จิตที่นิพพาน จิตที่นิพพาน จิตที่มันว่างสะอาดนั้นมันเป็นพลังงานอันหนึ่ง แต่พลังงานอันนี้ แรงขับ แรงขับคือความคิด

ความคิดนี่นะ ถ้าความคิดอันนี้ถ้ามันชำระล้างกันได้ มันชำระล้างกันที่อนาคามิมรรค ถ้าอนาคามิมรรค พอจิตมันปล่อยมันว่างหมด มันเป็นจิตล้วนๆ ถ้าจิตล้วนๆ มันว่าง มันไม่มีสิ่งใดๆ เลย นั่นแหละเป็นจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้คือตัวอวิชชา จิตเดิมแท้คือตัวปฏิสนธิ เพราะอะไร? เพราะมันไปเกิดบนพรหม เพราะมันยังไม่สิ้นสุดกระบวนการของมัน ถ้าไปทำลายกระบวนการของพลังงานให้สิ้นสุดไป นี่พอมันทำลายความคิด ทำลายความคิดมันทำลายกามราคะ ทำลายกามราคะมันไม่มีข้อมูลอันนั้น มันเป็นข้อมูลที่เราควบคุมได้ ถ้าเป็นข้อมูลที่ควบคุมได้ ข้อมูลที่เราเข้าใจไง ข้อมูลด้วยคมของปัญญาไง มันจะกระดิกพลิกแพลงอย่างไรเราจะทันมันหมด

สิ่งที่ทันมันหมด เห็นไหม สิ่งที่ทันมันหมด สิ่งที่เรื่องของข้างนอกมันก็เป็นเรื่องของข้างนอก เป็นเรื่องของปกตินะ มันจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป สิ่งที่มันเป็นไปมันจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป ธรรมชาติของมัน เพราะอะไร? เพราะว่ามันเป็นอนิจจัง คนจะสวยงามขนาดไหนมันต้องเป็นอนิจจัง มันต้องแปรสภาพไป มันคงที่อย่างนั้นไม่ได้ มันคงสภาพของมันอย่างนั้นไม่ได้ แต่การเกิดและการตายมันจะมีคลื่นลูกใหม่มาตลอดไป สิ่งที่เป็นคลื่นลูกใหม่ นี่วัฏฏะมันเป็นอย่างนี้ไง

นี่การดำรงเผ่าพันธุ์ แล้วเราจะปฏิเสธการดำรงเผ่าพันธุ์จากวัฏฏะจากภายนอก แล้วกิเลสในหัวใจเราได้ชำระไหม? ถ้าเราชำระกิเลสในหัวใจของเรา เห็นไหม วัฏฏะอันนี้มันเป็นผลของวัฏฏะ ดูสิเวลาเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา พระอรหันต์ดูสิ พระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย มีฤทธิ์มาก เหาะเหินเดินฟ้าได้นะ เขาจะมาฆ่าขนาดไหนเหาะได้ตลอดเลย แต่ทำไมถึงเวลาที่สุดแล้วปล่อยเขาฆ่าตายล่ะ? นี่เพราะอะไร?

เพราะสิ่งนี้มันเป็นผลของกรรม ผลของวัฏฏะ ร่างกายมันถึงมีสภาวะแบบนั้น แต่หัวใจไม่เป็นนะ ปล่อยให้เขาทำ ปล่อยให้เขาทำ แต่หัวใจมันไม่กระเพื่อม ไม่หวั่นไหว ไม่หวั่นไหวเพราะอะไร? เพราะเวลาเขาทำเสร็จแล้ว หัวใจนี่ ด้วยฤทธิ์รวมร่างกายที่เละเลย ที่เขาตีจนแหลกหมดเลยกลับมาเป็นปกติ แล้วเหาะไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ให้สมควรแก่เวลาของเธอเถิด” ลาเสร็จแล้วเทศนาว่าการก็ย้อนกลับมาถึงที่เก่า มาถึงคลายฤทธิ์ออกไป มันก็เป็นธรรมชาติอย่างนั้น นี่เพราะไม่สะเทือนหัวใจมันถึงทำได้ แต่ถ้าหัวใจสั่นไหว มีอะไรสั่นไหว มันจะทำอะไรไม่ได้เลย

เรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องทำไปตามขั้นตอน เราไปสุกก่อนห่ามไง เริ่มต้นปฏิบัติแล้วก็จะเอาตรงนี้มาเป็นอุปสรรค ความเป็นอุปสรรคมันต้องใช้ปัญญาของเราใคร่ครวญ ใคร่ครวญว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องของธรรมดา สิ่งที่เป็นไปเป็นเรื่องของธรรมดานะ เขาทำบุญของเขามา เราจะไปปฏิเสธของเขาไม่ได้ อากาศร้อน อากาศหนาวมันเป็นฤดูกาล เราปฏิเสธสิ่งนั้นไม่ได้ แต่เราควบคุมใจของเราได้ เรารักษาใจของเราได้ว่าสิ่งนี้มันเป็นธรรมดา

สิ่งนี้มันเป็นธรรมดาของฤดูกาลที่มันเปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติของมัน เราเองต่างหากจะต้องปรับตัวเองให้เข้ากับฤดูกาลนั้น เพื่อจะให้เราไม่ทุกข์เกินไป ให้เราไม่ทุกข์เกินไป เห็นไหม เวลาพระอรหันต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระอรหันต์นะ

“นี่เป็นอย่างไร? เธอจะทรงธาตุขันธ์อยู่ได้หรือ? เธอจะทรงธาตุขันธ์อยู่ได้หรือ?”

“พอทนไปได้ พอทนไปได้”

เห็นไหม นี่ปรับตัวเองให้เข้ากับสภาวะแบบนั้น นี่คำว่าปรับตัวเองเข้าสภาวะแบบนั้นนะ แต่เวลาจิตถ้ามันสงบไปแล้ว มันชำระกิเลสไปหมดแล้ว มันไม่ใช่ปรับตัวเองเข้ากับสภาวะแบบนั้น มันรู้ตามความเป็นจริง แล้วมันวางไว้ตามธรรมชาติของเขา วางไว้ตามธรรมชาติของเขานะ วัน คืน เดือน ปี มันจะล่วงไปโดยธรรมชาติของเขา จิตนี้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครเลย

สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์เวลาเกิดขึ้นมาแล้วทำลายกิเลสจนหมดไป วันไหนท่านชำระกิเลส ตั้งแต่นั้นไปจิตมันสะอาดตลอด แล้วขันธ์สะอาดตลอด ความคิดที่จะเป็นอกุศลในใจดวงนั้นจะมีอีกไม่ได้ มันจะเป็นความสะอาดของจิตดวงนั้นตลอดไป แต่! แต่ยังมีชีวิตอยู่ นี่ถึงว่าสอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่

ถ้าพระอรหันต์ที่ตายแล้ว อนุปาทิเสสนิพพาน คือจิตที่พ้นไปโดยบริสุทธิ์ผุดผ่องเลย แล้วธาตุขันธ์ทิ้งไว้ธรรมชาติของมัน มันกลับไปเป็นธรรมชาติของมัน แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานยังทิ้งธาตุขันธ์เอาไว้ เวลาถวายพระเพลิงแล้วเป็นพระบรมสารีริกธาตุ ได้กราบไหว้บูชาไง เรากราบไหว้บูชา เพราะสิ่งนี้เกิดมา กายนี่สิ่งที่เป็นประโยชน์กับร่างกายของเรา

มนุษย์ การเกิดนี่สมบัติ การเกิดเป็นมนุษย์ประเสริฐที่สุด เป็นอริยทรัพย์นะ สมบัติมีเพราะมีเรา คุณธรรมมีเพราะมีการกระทำของเรากับของจิต การกระทำของเรา การกระทำของร่างกาย หัวใจมันเริ่มเห็นคุณเห็นโทษทางความรู้สึก เห็นคุณเห็นโทษของสมบัติจากภายนอก เห็นคุณเห็นโทษของสมบัติจากภายใน สมบัติจากภายนอกเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยให้ดำรงชีวิตในเรื่องของร่างกาย สมบัติจากภายใน อริยทรัพย์จากภายใน ดำรงหัวใจให้มีเผ่าพันธุ์ของมัน เผ่าพันธุ์ของอริยภูมิ จิตมันจะพัฒนาขึ้นไป

ถ้าจิตมันเกิดเป็นมนุษย์สมบัติ ถ้ามีการกระทำอย่างนี้ ใจที่มีคุณภาพ ใจที่สูงส่ง มันจะเห็นสมบัติอันที่ว่าเขามองไม่เห็นกัน สมบัติที่เป็นนามธรรมจะรักษากันอย่างไร? สมบัติที่เป็นนามธรรม ความทุกข์ก็เป็นนามธรรม ความทุกข์ความสุขเป็นนามธรรม เราว่าความสุขความทุกข์เกิดจากภายนอก เกิดจากวัตถุ วัตถุมีส่วน มีส่วนเพราะคนใจมันหยาบ คนไม่รู้จักคุณค่าของตัวเอง แบกรับไว้จนหนักเป็นภาระมาก เป็นภาระเก็บรักษานี่ทุกข์มาก แต่ถ้าคนหัวใจเป็นธรรมนะ นี้เป็นเรื่องสมบัติของเขา ไม่ติดเขา วางเขา ใช้เขา ประโยชน์กับเขา ใช้ประโยชน์กับเขา เห็นไหม สละเป็นสาธารณะสมบัติของเรา นี่ใจมันจะประเสริฐขึ้นมาตรงนั้น

เทวดาไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “พระอินทร์มีไหม?” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “อย่าถามเลยว่าพระอินทร์มีไหม? วิธีการเกิดพระอินทร์ เหตุให้เกิดพระอินทร์ยังเข้าใจเลย”

เหตุให้เกิดพระอินทร์ เห็นไหม นี่สละสาธารณะสมบัติ สร้างถนนหนทาง สร้างแหล่งน้ำ สร้างศาลาโรงธรรม นี่สิ่งที่สละเพราะอะไร? เพราะเป็นหัวหน้าเสียสละให้กับประชาชน ให้กับญาติโยมเขาได้มีความสุขอันนั้น ถ้าเขามาใช้สมบัติของเรา นี่ใช้สมบัติของเรา บารมีมันเกิดตรงนี้ไง เวลาเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม นี่เขาเกิดเป็นเทวดา เขาทำดีเขาไปเกิดเป็นเทวดา แต่ก็เป็นเทวดาอยู่ใต้การปกครองของพระอินทร์ เห็นไหม นี่พระอินทร์จะเกิด เหตุให้เกิดพระอินทร์ยังเข้าใจเลย สิ่งที่เหตุให้เกิด

นี่ก็เหมือนกัน เหตุให้หัวใจเราสูงส่ง เหตุให้หัวใจเราเห็นคุณประโยชน์อริยทรัพย์จากภายใน ถ้าทรัพย์จากภายใน การกระทำอย่างนี้เป็นประโยชน์กับเรา ประโยชน์กับเรา เห็นไหม นี่ถ้าสร้างขึ้นมา ใจมันประเสริฐขึ้นมามันจะทำได้ ถ้าใจหยาบๆ ก็เห็นสมบัติหยาบๆ นั้น สมบัติจากข้างนอก สมบัติจากข้างใน ชีวิตนี้สำคัญอย่างนี้ แล้วมันแบบว่าจะพูดให้ใครเข้าใจอย่างเราไม่ได้ แล้วแต่วุฒิภาวะของใจ

คนเกิดมาหยาบ คนเกิดมาละเอียด คนเกิดมาต่างๆ คนเกิดมาละเอียด ดูสิเวลากษัตริย์ออกบวชในสมัยพุทธกาล เห็นไหม อยู่โคนไม้นี่ “สุขหนอ สุขหนอ สุขหนอ” ขณะที่เป็นกษัตริย์อยู่ในราชวังนี่ต้องบริหารจัดการ ต้องรับภาระต่างๆ แต่ไอ้ตัวที่ว่าความปลอดภัยมันทุกข์มากเลย เพราะเป็นกษัตริย์ กษัตริย์สมัยโบราณ สมัยพุทธกาล กษัตริย์เป็นผู้ปกครองทั้งหมด แล้วอำนาจทุกคนก็ต้องแสวงหา ไม่มีความสุขเลย หวาดระแวงตลอดเวลา แต่เวลามาประพฤติปฏิบัติแล้วไม่มีใครมาแย่งชิงของเราเลย แล้วทรัพย์จากภายในยิ่งใครแย่งชิงไม่ได้

เวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้ว สิ้นกิเลสแล้วนะ บอกว่า “สุขหนอ สุขหนอ” นอนอยู่โคนไม้ก็ไม่มีใครมาทำร้าย นอนอยู่ที่ไหนก็ไม่ต้องระแวงภัยทั้งสิ้น ไม่ต้องระแวงภัยเลย หัวใจมันสุขของมัน มันมีคุณค่าของมัน ขณะที่เป็นกษัตริย์มีอำนาจมาก ตัดสินคดีความต่างๆ ได้ทั้งนั้น แต่ทุกข์มาก ระแวงมาก นี่สมบัติจากภายในอย่างนี้ คนที่มีวุฒิภาวะจะแสวงหา คนที่แสวงหาจากภายนอกเป็นเรื่องของเขา คนที่แสวงหาจากภายในเป็นเรื่องของเรา นี่การประพฤติปฏิบัตินะ

จากเรื่องหยาบๆ จะบอกว่าสิ่งนั้นมองแล้วไม่สวยๆ คือการปฏิเสธ มันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ถ้าปฏิบัติไปแล้ว เข้าใจไปแล้ว ถึงที่สุดแล้วมันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่สวยจริงๆ ของนี่เป็นของหมักหมม มันขับจากขี้เหงื่อขี้ไคลออกมาทั้งนั้นเลย แต่ขณะที่มันเห็นด้วยสมมุติ มันเห็นด้วยตาเนื้อ สวย สวยแน่นอน จะบอกว่าไม่สวยไม่ได้

แต่ถ้าเห็นด้วยปัญญา เห็นด้วยอริยภูมิจากภายใน ไม่สวย ไม่สวยหรอก ของชั่วคราวทั้งนั้นเลย แล้วใครเป็นคนกระทำล่ะ? ใจมันพัฒนาขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ถึงเวลามันเป็นมันเป็น ถึงเวลาไม่เป็นจะให้มันเป็น มันก็ไม่เป็น แล้วทุกข์มาก ถ้ามันเป็นขึ้นมาแล้วมันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ถ้ายังไม่เป็นเราค่อยพัฒนาของมันไป อย่าเพิ่งไปสุกก่อนหาม แล้วเราจะเป็นความจริงของเรา เป็นขั้นตอนของเราขึ้นไป มันจะเป็นความจริงไง

นี่ธรรมต้องเป็นอย่างนี้ จะก้าวเดินไปแต่ละชั้นแต่ละตอน ไม่ใช่ว่ารวบรัดตัดตอนแล้วจะเป็นของเรา แล้วกลับไม่เป็น แล้วกลับน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วปฏิบัติไม่ได้ด้วย เอวัง